
ในช่วงที่ผ่านมา หลายๆ คนคงจะเห็น Virtual Being หรือประชากรแห่งโลกเสมือนแจ้งเกิดกันอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในแวดวงของ Virtual Influencer หรือ ‘Virtual reality concert’
ต้องออกตัวก่อนว่า Virtual Being ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่หรอกนะ แต่จริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่มีมานานแล้วต่างหาก โดยที่ถูกพูดถึงกันอย่างมากในช่วงนี้ก็เพราะแบรนด์ต่างๆ ได้หันมาปรับตัวตามเทรนด์สมัยใหม่ ประกอบกับการที่วิถีชีวิตเรานั้นได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เข้าสู่ยุค New Normal ส่งผลให้เทคโนโลยีต่างๆ นั้นถูกพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการต่างๆ ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
Virtual reality concert หรือคอนเสิร์ตเสมือน คือการจัดแสดงคอนเสิร์ตที่จำลองภาพของอวทาร์ (Avatar) บนเวที ซึ่งจะคล้ายกับการจำลองศิลปินอีกคนหนึ่งเอาไว้โดยที่เจ้าตัวจริงๆ อาจจะอยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือไม่ได้อยู่บริเวณพื้นที่ของการจัดแสดงนั้นเลยก็ตาม โดยเสียงจากร่างอวทาร์ที่แฟนคลับได้ยินก็จะเหมือนกับเสียงปกติของศิลปินเป๊ะๆ นั่นแหละ เนื่องจาก ได้มีการบันทึกข้อมูลเอาไว้ล่วงหน้า และทำการซิงก์กับบทเพลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และ Virtual reality concert ที่ว่าเนี่ยก็ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้นิยม Virtual Pop Stars อย่างมากเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น คอนเสิร์ตของฮัตสึเนะ มิกุ (Hatsune Miku) ตัวละครจากโปรแกรมเสียงสังเคราะห์โวคาลอยด์ (Vocaloid) ไอคอนของวงการดนตรีญี่ปุ่น คอนเสิร์ตสดของไมเคิล แจ็กสัน (Michael Jackson) ศิลปินราชาเพลงป๊อประดับตำนานในเพลง Slave to The Rhythm คอนเสิร์ตเสมือนย้อนรำลึกถึงการจากไปของทูพัค ชากูร์ (Tupac Shakur) แร็ปเปอร์ชื่อดัง เป็นต้น โดยทั้งหมดนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นไอเดียที่เกิดจากการใช้โฮโลแกรม (Hologram) ด้วยกันทั้งสิ้น
ตัวอย่างการฉายโฮโลแกรมของ Hatsune Miku ในงาน Magical Mirai 2017
ตัวอย่างการฉายโฮโลแกรมของ Michael Jackson ในเพลง Slave to The Rhythm
ตัวอย่างการฉายโฮโลแกรมของ Tupac Shakur ในงาน Coachella Live 2012
รวมไปถึงในฝั่งของบ้านเราก็ได้เคยมีการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในการแสดงคอนเสิร์ตเหมือนกัน ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน เชื่อว่าหลายคนน่าจะคุ้นเคยกับวงบอยแบนด์แห่งยุคอย่างวงดีทูบี (D2B) กันเป็นอย่างดี วงบอยแบนด์ชื่อดังนำโดยบีม กวี ตันจรารักษ์, แดน วรเวช ดานุวงศ์ และบิ๊ก ปาณรวัฐ กิตติกรเจริญ ที่ได้ฝากผลงานไว้กับวงการดนตรีมากมาย ทั้งเพลงฮิตติดหู คอนเสิร์ตในตำนาน และมิตรภาพสุดตราตรึงใจ ซึ่งเมื่อบิ๊ก ดีทูบีเกิดประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ส่งผลทำให้วงต้องหยุดชะงักลง…
แต่แล้วทางคูลฟาเรนไฮต์ (COOLfahrenheit) ก็ได้เนรมิตความฝันเหล่าสาวกขึ้นมาอีกครั้งในคอนเสิร์ต D2B Infinity Concert 2019 ด้วยการใช้เทคโนโลยีโฮโลแกรมผ่านจอ LED ที่มีระดับความคมชัดสูงที่สุดในประเทศ เพื่อฉายภาพบิ๊ก ดีทูบีให้สามารถร้อง เล่น เต้นร่วมกับสองคู่หูสุดซี้ได้เหมือนกับ ‘มีชีวิต’ อีกครั้ง โดยคอนเสิร์ตครั้งนี้ก็ทำเอาถูกอกถูกใจ คลายความคิดถึงของเหล่าแฟนๆ ดีทูบีไปได้เป็นกอง
ตัวอย่างการฉายโฮโลแกรมของบิ๊ก ดีทูบีในงาน D2B Infinity Concert 2019
โฮโลแกรมช่วยทำให้เกิดความเป็นไปใหม่ๆ มากขึ้น ตอบสนองความต้องการของผู้คนได้อย่างดีเยี่ยม เนรมิตทุกความฝันให้เป็นจริง! ช่วยสร้างบรรยากาศเสมือน รวมไปถึงสามารถปลุกศิลปินให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง และทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนกำลังนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปชมคอนเสิร์ตกับศิลปินคนนั้นจริงๆ
และนอกจากนี้มันก็ได้ถูกนำไปใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการอื่นๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นวงการการแพทย์ที่ใช้สื่อสารทางไกลระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย วงการสื่อที่ใช้จำลองภาพวิดีโอของผู้ถูกสัมภาษณ์ วงการละครสัตว์ที่ใช้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับโชว์ และลดความเสี่ยงต่อการปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรม หรือแม้กระทั่ง ‘วงการการฝึกอบรมพนักงาน (Training)’ ก็ด้วย
ตัวอย่างการใช้โฮโลแกรมในวงการการแพทย์ของ Silver Chain Group
ตัวอย่างการใช้โฮโลแกรมในวงการสื่อของ CNN
ตัวอย่างการใช้โฮโลแกรมในวงการละครสัตว์ของคณะละครสัตว์ Circus Roncalli
จากตัวอย่างด้านบนจะเห็นได้ว่า ช่วงปีหลังๆ มานี้โฮโลแกรมได้ถูกพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่เพียงภาพฉายที่ถูกสะท้อนอยู่แค่ในกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ เหมือนในอดีตเท่านั้น แต่ในปัจจุบันมันก้าวล้ำไปยิ่งกว่าที่เคย ด้วยการผสมผสานระหว่างปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) กับจอภาพความคมชัดสูงส่งผลให้การแทรกสอดของแสง และการสะท้อนภาพแบบ 360 องศาที่ตกกระทบสู่แผ่นฟิล์มหรือแผ่นกระจกนั้นมีความสมจริง และเหนือชั้นสุดๆ สามารถเห็นความตื้น ลึก หนา และบางได้ทุกมุมมอง เสมือนว่าสิ่งนั้นกำลังลอยอยู่ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทุกวันนี้บางคนแทบจะแยกความแตกต่างไม่ออกระหว่างคนจริงๆ กับคนที่เกิดจากโฮโลแกรมกันเลยทีเดียว
แล้ว Hologram จะเปลี่ยนการ Training ในอนาคตอย่างไร?
- เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ให้ดียิ่งขึ้น ด้วยความสามารถในการฉายภาพต่างๆ ได้ทุกรูปแบบจึงทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจเนื้อหาได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมความจำในระยะยาว และส่งมอบประสบการณ์การเรียนที่เหนือชั้นให้กับผู้เรียนไปในตัวอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น การเรียนที่เหมือนนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปเรียนอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) เมื่อหลายสิบปีก่อน เป็นต้น
- เพิ่มศักยภาพการเรียนรู้อย่างเต็มสตรีม โต้ตอบได้เหมือนกับว่า กำลังฝึกอบรมกับผู้สอนตัวเป็นๆ ช่วยกระตุ้นการมีส่วนร่วมได้ดีมากกว่าการนั่งเรียนผ่านวิดีโอธรรมดาบนเว็บไซต์
- เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนกับผู้สอนที่หลากหลาย และเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง เนื่องจากอินเทอร์เน็ต และโฮโลแกรมได้ทลายข้อจำกัดต่างๆ ทางด้านระยะทางลง ดังนั้น ไม่ว่าผู้สอนหรือผู้เรียนจะอยู่กันคนละซีกโลกก็ไม่เป็นอุปสรรคในการฝึกอบรมอย่างแน่นอน
และทั้งหมดนี้ก็คือเนื้อหาบางส่วนที่เรานำมาฝากกัน ท้ายที่สุดแล้วในอนาคต เมื่อเทคโนโลยีถูกพัฒนาให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น เราทุกคนอาจจะเห็นคนหายตัวกลางอากาศ เดินทะลุเข้าไปในกำแพงจนกลายเป็นเรื่องปกติหรืออะไรที่ล้ำๆ กว่านี้อีกหลายร้อยเท่าเลยก็ว่าได้…
สนใจติดต่อทำ Realistic Training สำหรับฝึกอบรมพนักงานในองค์กรติดต่อได้ที่ : Click
Sources :
- https://youtu.be/jDRTghGZ7XU
- https://youtu.be/TGbrFmPBV0Y
- https://www.thairath.co.th/scoop/1709355
- https://youtu.be/PVxhvXX71IE
- https://www.popsci.com/technology/article/2012-04/video-tupac-shakur-resurrected-hologram-perform-coachella/
- https://youtu.be/DcqrKMtNiYc
- https://youtu.be/thOxW19vsTg
- https://youtu.be/q3KbgGJux4E
- https://futurism.com/the-byte/circus-using-holograms-animals
- https://elearningindustry.com/holograms-revolutionize-education-system-world-nowadays